วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

งานเเละพลังงาน

แรงและงาน

      งาน ( Work ) เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีแรงมากระทำต่อวัตถุ  แล้วทำให้วัตถุมีการกระจัด โดยปริมาณงานที่ทำจะเกิดขึ้นกับแรง และการกระจัด กล่าวคือ ในกรณี F ที่กระทำเป็นแรงคงตัว และการกระจัด S ของวัตถุอยู่ในแนวเดียวกันกับแรง F นั้น ปริมาณงานที่แรง F ทำจะมีค่าเท่ากับ ผลคูณระหว่างขนาดของแรง F กับขนาดของการกระจัด S ของวัตถุ  
งาน (work) คือ  ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวราบ งานเป็นปริมาณที่สามารถคำนวณได้จากความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้
              งาน  =   แรง (นิวตัน) ระยะทาง (เมตร)                       
       เมื่อ   W  คือ  งาน  มีหน่วยเป็นจูล ( J ) หรือนิวตันเมตร (N-m)             
         F   คือ  แรงที่กระทำ  มีนหน่วยเป็นนิวตัน ( N )                               


         S   คือ  ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวราบ  มีหน่วยเป็นเมตร ( m )                 
                                                     
                                                    W = Fs

     กำหนดให้งานของแรง F มีเครื่องหมายบวก เมื่อแรง F อยู่ในทิศทางเดียวกับ ทิศทางการเคลื่อนที่ เช่น งานของแรงที่ดันกล่องให้เคลื่อนที่ เป็นต้น และกำหนดให้งานของแรง F มีเครื่องหมายลบ เมื่อแรง F อยู่ในทิศทางตรงข้าม กับทิศทางการเคลื่อนที่ เช่น งานของแรงเสียดทาน ทีต้านการเคลื่อนที่ของกล่อง เป็นต้น  ซึ้งเขียนเป็นสมการได้ ดังนี้

                                        W = -Fs



เนื่องจากแรงมีหน่อย นิวตัน การกระจัดมีหน่อย เมตร หน่อยของงานจึงเป็น นิวตัน เมตร หรือ จูล ( joule เขียนย่อว่า J ) โดยมีความหมายว่า ถ้าแรงขนาด 1 นิวตัน กระทำต่อวัตถุ และทำให้วัตถุเคลื่อนที่ ไปในทิศทางเดียวกันกับแรงนั้นด้วยการกระจัด 1 เมตร เรากล่าวว่า งานที่เกิดจากแรงนั้น มีค่าเท่ากับ 1 จูลงานเป็นปริมาณสเกลาร์

1. งานของแรงที่ทำมุมกับแนวการเคลื่อนที่

       ในกรณีที่แรงคงตัว F กระทำต่อวัตถุในแนวทำมุมกับทิศทางการเคลื่อนที่ในแนวตรงของวัตถุ และทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปด้วยการกระจัด S เราจะหางานที่แรง F  ทำได้โดยแยกแรงF นี้ออกเป็น แรงองค์ประกอบที่ตั้งฉากกัน 2 แรง โดยต้องให้แรงองค์ประกอบแรงหนึ่งอยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุดังรู



กรณีที่แรงกระทำต่อวัตถุอยู่ในแนวทำมุมกับทิศทางการเคลื่อนที่

Fx เป็นองค์ประกอบของแรง F ในแนวระดับ แรงนี้ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยการกระจัด S ในแนวระดับ
          Fy เป็นองค์ประกอบของแรง F ในแนวดิ่ง แรงนี้กระทำในทิศทางตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ จึงไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ในแนวระดับ นอกจากนี้วัตถุก็ไม่มีการกระจัดในแนวดิ่ง งานที่เกิดจากแรง Fy จึงเท่ากับศูนย์
      
งานที่เกิดจากแรง Fx หาได้จาก  W  = FxS
      แต่เนื่องจาก                          Fx = Fcosθ
      ดังนั้น งานที่เกิดขึ้นจากแรง Fx หาได้จาก



W = (Fcosθ) s = Fs cosθ



        สรุปว่า งานที่เกิดจากแรงคงตัวที่กระทำต่อวัตถุซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ จะหาได้จากผลคูณระหว่างขนาดของแรงองค์ประกอบในแนวการเคลื่อนที่กับขนาดการกระจัดของวัตถุที่เกิดขึนในช่วงที่แรงนี้กระทำ หรือเขียนเป็นสมการได้ว่า


W = Fs cosθ

ในกรณีวัตถุเคลื่อนที่ในแนวตรงและไม่กลับทิศทาง เราสามารถหางานได้เท่ากับผลคูณของขนาดของแรงในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่กับขนาดของการกระจัด แต่ถ้าการเคลื่อนที่นั้นไม่เป็นเส้นตรงหรือมีการกลับทิศทาง แสดงว่าแรงที่มากระทำเป็นแรงที่ไม่คงตัว เราจะพิจารณาหางานของแรงในช่วงสั้นๆ   W โดยคิดว่าแรงมีขนาดคงตัวและพิจารณาแรงที่อยู่ในแนวเดียวกับการกระจัดในช่วงสั้นๆ
2. การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
      การศึกษาที่ผ่านมาเป็นการหางานของแรงคงตัวที่กระทำต่อวัตถุ  แต่ถ้าแรงที่กระทำต่อวัตถุมีขนาด   ไม่คงตัว  จะหางานของแรงนั้นได้อย่างไร
      นอกจากจะหางานของแรงได้จากความสัมพันธ์



ตามสมการแล้วยังมีอีกวิธีที่ช่วยในการหางาน  แต่จะใช้ได้เฉพาะกรณีที่ทั้งแรงกระทำและขนาดของการกระจัดอยู่ในแนวเดียวกับแนวการเคลื่อนที่ วิธีดังกล่าวคือการหาพื้นที่ใต้กราฟระหว่างแรง และขนาดของการกระจัด  (ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่)

ก.       แรงกระทำมีค่าคงตัว
เมื่อมีแรงคงตัวกระทำต่อวัตถุเคลื่อนที่โดยแรงที่กระทำอยู่ในทิศทางเดียวกับการกระจัด ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแรงที่คงตัวกับขนาดของการกระจัดในแนวการเคลื่อนที่ได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Ex ถ้าจะหางานของแรงคงตัวขนาด 5 นิวตัน ที่ทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นระยะทาง 10  เมตร
ดังนั้นงานที่ทำได้  = (5N)(10m)
                           = 50 J
แรงกระทำเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างสม่ำเสมอ
ในบางครั้งแรงที่กระทำต่อวัตถุมีขนาดไม่คงตัว เช่น แรงที่ใช้ดึงสปริงให้ยืดออก ในตอนแรกขนาดของแรงมีค่าเป็นศูนย์ แล้วมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อสปริงถูกดึงให้ยืดออกมากขึ้น ในช่วงที่แรงมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
Ex ถ้าแรงมีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างคงตัวจาก 0 ถึง 10 นิวตัน ทำให้วัตถุเคลื่อนที่โดยมีการกระจัด 10 เมตร จะพิจารณาแรงที่ใช้เป็นแรงเฉลี่ยดังนั้น 

งานที่ทำได้  = แรงเฉลี่ย × การกระจัด
             
เมื่อพิจารณาพื้นที่ จะได้รูปสามเหลี่ยม ABC ซึ่งหาพื้นที่ได้ดังนี้


จะเห็นได้ว่างานที่ทำได้มีค่าเท่ากับพื้นที่รูปสามเหลี่ยม

.แรงกระทำมีนาดไม่คงตัว
     ในกรณีที่ขนาดของแรงมีขนาดไม่คงตัวความสัมพันธ์ระหว่างแรงกับขนาดของการกรระจัด
ในแนวการเคลื่อนที่อาจจะเป็นดังรูป

     ในกรณีหางานจากพื้นที่ของแรงกับขนาดของการกระจัดในแนวการเคลื่อนที่ ทำได้โดยวิธีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นแถบเล็กๆ จำนวน n แถบ ปริมาณงานทั้งหมดจะมีค่าเท่ากับผลบวกของพื้นที่แถบเล็กๆ เหล่านั้น ถ้าแบ่งเป็นแถบเล็กได้มากเท่าใด งานที่หาได้โดยวิธีนี้จะยิ่งถูกต้องมากขึ้น
งานทั้งหมด = แรงเฉลี่ย × การกระจัด
หรือ งานทั้งหมด = ผลบวกของงานย่อย

พลังงาน

        พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องได้ แต่เราสามารถรับรู้ จากผลของมันได้ เช่น แสงช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ  เรารู้สึกร้อนจากพลังงานความร้อน  หรือเห็นหลอดไฟสว่าง เมื่อพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นพลังงานแสง
       พลังงานมีหลายแบบ เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานเคมี พลังงานความร้อน พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานการแผ่รังสี เป็นต้น  พลังงานเป็นปริมาณที่บอกถึง ความสามารถในการทำงาน”  ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ เปลี่ยนเป็นพลังงานอื่น เปลี่ยนสถานะ เป็นต้น
       ในวิชากลศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับพลังงาน 2 ประเภท ได้แก่ พลังงานในวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ หรือมีความเร็วเรียกว่า พลังงานจลน์”  และพลังงานในวัตถุที่ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง หรือสภาวะของวัตถุ เช่น พลังงานของวัตถุเมื่ออยู่ที่สูง พลังงานในสปริงที่ยืดออก หรือหดสั่นกว่าปกติ เรียกพลังงานนี้ว่า พลังงานศักย์ผลรวมของพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ เรียกว่า พลังงานกล ในหัวข้อต่อไปนี้ จะได้ศึกษาว่างานกับพลังงานกลมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
1. พลังงานจลน์
นักเรียนคิดว่า ลูกบอลที่กำลังเคลื่อนที่มีพลังงานจลน์หรือไม่ ถ้าขว้างลูกบอลเข้าใส่กระป๋องใบหนึ่งที่วางอยูบนพื้น ถ้าลูกบอลมีพลังงานมากพอกจะทำให้กระป๋องกระเด็นหรือล้มได้ พลังงานของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่นี้เรียกว่า พลังงานจลน์ (kinetic energy)
งานกับการเปลี่ยนพลังงานจลน์ของวัตถุ
เราได้ศึกษามาแล้วว่า งานของแรงลัพท์ที่ไม่เป็นศูนย์ทำให้วัตถุที่อยู่นิ่งมีการเคลื่อนที่ นั่นคือทำให้วัตถุมีพลังงานจลน์ แต่ถ้าวัตถุมีการเคลื่อนที่ หือมีพลังงานจลน์อยู่แล้วงานของแรงลัพธ์ที่ไม่เป็นศูนย์ที่กระทำต่อวัตุจะทำให้พลังงานจลน์ของวัตถุเปลี่ยนไปหรือไม่





เนื่องจากแรงลัพธ์เป็นแรงคงตัวดังนั้นค่าความเร่งจึงมีค่าคงตัวด้วย จากสมการ


พลังงานจลน์ของวัตถุที่เปลี่ยนไปนั้นอาจเพิ่มหรือลดลงก็ได้ขึ้นอยู่กับทิศทางของแรงลัพธ์ที่ไม่เป็นศูนย์ที่กระทำ กล่าวคือ ถ้าแรงลัพธ์ที่ไม่เป็นศูนย์กระทำในทิศทางเดียวกันกับการเคลื่อนที่ของวัตถุพลังงานจลน์ของวัตถุจะเพิ่มขึ้น เช่น การปล่อยวัตถุให้ตกแบบเสรี วัตถุจะมีอัตราเร็วเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าแรงลัพธ์ที่ไม่เป็นศูนย์มีทิศทางตรงข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุพลังงานจลน์ของวัตถุจะลดลง เช่น การโยนวัตถุขึ้นไปในอากาศ วัตถุจะมีอัตรเร็วลงลดจนเป็นศูนย์ที่ตำแหน่งสูงสุด

2. พลังงานศักย์ (Potential   Energy)
    พลังงานศักย์ (Ep) คือ พลังงานที่ถูกเก็บสะสมไว้และพร้อมที่จะนำมาใช้  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ
พลังงานศักย์โน้มถ่วง

พลังงานศักย์โน้มถ่วง (Gravitational Potential Energy) เป็นพลังงานศักย์ที่สะสมในวัตถุ เมื่ออยู่บน ที่สูง พลังงานศักย์โน้มถ่วงจะมีค่ามาก หรือ ค่าน้อย ขึ้นอยู่กับระดับความสูงจากพื้นโลก สามารถหาค่าได้จากงานที่ทำหรือการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุในแนวดิ่ง เช่น การตกของลูกมะพร้าวจากต้น การปล่อยตุ้มตอกเสาเข็ม สามารถหาค่าพลังงานศักย์โน้มถ่วง จากงานเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุ เมื่ออยู่บนที่สูง

พลังงานศักย์(Ep)  = งาน
                          = Fs
                          = mgs
        ระยะทาง (s) = ความสูง(h)

         ดังนั้น    Ep = mgh
Ex   ลิฟต์ขนสินค้าตัวหนึ่งบรรทุกสินค้ามีน้ำหนักรวม 1,500 กิโลกรัม เคลื่อนที่จากชั้นล่างขึ้นไป     ชั้นที่ 7 ซึ่งสูงจากพื้น 28 เมตร จะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงเท่าใด
วิธีทำ     จากสูตร  Ep  =  mgh
  เมื่อ m  = 1,500         h =28  m         g =10 m/s
                  แทนค่า  Ep =1,500 x 10 x 28
                                   = 420,000 J                            จะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง = 420 kJ

ข. พลังงานศักย์ยืดหยุ่น
พลังงานศักย์ยืดหยุ่น (Elastic Potential Energy) เป็นพลังงานศักย์ที่สะสมในวัตถุที่ติดกับสปริงที่ถูกทำให้ยืดออก หรือ หดเข้า จากตำแหน่งสมดุล แรงที่กระทำต่อสปริงมีค่าไม่คงที่ แต่จะมีค่าเพิ่มขึ้นจากศูนย์ แรงที่นำไปใช้จึงเป็นค่าเฉลี่ย ดังนั้น งานหาได้จาก


งาน = แรงเฉลี่ย x ระยะยืดหยุ่นของสปริง

เมื่อ  W แทน งานที่ได้จากการยืดหยุ่นของสปริง (J)
          F แทน  แรงที่กระทำต่อสปริง (N)
          S แทน ระยะยืดหยุ่นของสปริง (m)

อีกประการหนึ่ง แรงที่กระทำต่อสปริงจะแปรผันตรงกับระยะยืดหยุ่นของสปริง มีค่าคงที่ของสปริง เรียกว่า ค่าคงที่ของสปริง หรือ ค่านิจของสปริง (spring constant;k) นั่นคือ





เมื่อ   k   คือ  ค่าคงที่ของสปริง หรือ ค่านิจของสปริง
แทนค่า (2) ใน (1)
เนื่องจากงานที่ใช้ในการทำให้สปริงมีระยะเปลี่ยนไป Image024 นั่นคือ พลังงานศักย์ในสปริง เรียกว่า พลังงานศักย์ยืดหยุ่น (Ep)
Ex ออกแรงดึงขนาด 100 นิวตัน ดึงสปริงให้ยืดออก 30 เซนติเมตร จงคำนวณหาค่าพลังงานศักย์ยืดหยุ่นของสปริง
วิธีทำ          จาก สูตร


ดังนั้น พลังงานศักย์ยืดหยุ่นของสปริงเมื่อยืดออก 30 เซนติเมตร 15 จูล
Ex  สปริงอันหนึ่งมีค่าคงที่ของสปริง 25 N/m เมื่อสปริงยืด 50 เซนติเมตร จะมีค่าพลังงานศักย์ยืดหยุ่นเท่าใด
วิธีทำ           จากสูตร


ดังนั้น  พลังงานศักย์ยืดหยุ่นของสปริงเมื่อยืดออก 50 เซนติเมตร 3.125 จูล